วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภัยเงียบจากโทรศัพท์มือ

ภัยเงียบจากโทรศัพท์มือ !!



   ในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นปัจจัยที่ สำหรับการดำรงชีวิตของประชากรโลกและประชาชนชาวไทยในเกือบทุกระดับ ทุกเพศและเกือบทุกวัยไปแล้ว ประมาณการผู้ใช้ "โทรศัพท์เคลื่อนที่" หรือ "มือถือ" ทั่วโลก... ขณะนี้มีถึง 380 ล้านเครื่อง
      ขณะที่ในเมืองไทยจากพลเมืองราว 65 ล้านคน ล่าสุดนั้น ตัวเลขผู้ใช้มือถือยังแตกต่างกันอยู่ ในแต่ละฝ่ายที่รวบรวม บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประมาณไว้ที่ 18 ล้านเครื่อง ส่วนกรมควบคุมมลพิษคาดว่าอยู่ที่ 15-30 ล้านเครื่อง ขณะที่มูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมคาดการณ์ว่า ปัจจุบันมีคนไทยใช้มือถือประมาณ 16 ล้านเครื่อง และในอีก ปีข้างหน้า จะสูงถึงกว่า 20 ล้านเครื่อง
      สมัยนี้ใครไม่มีมือถือใช้ถือว่าตกเทรนด์ เชยสุดๆ หากวันใดที่มองไปยังถนนแล้วไม่เห็นคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ แม้ว่ากำลังขับรถอยู่ก็ตาม ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เนื่องจากในปัจจุบัน ราคาจำหน่ายของเครื่องโทรศัพท์มือถือมีราคาที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ประกอบกับรายการส่งเสริมการขาย (Promotion) ที่ผู้รับสัมปทานทยอยออกมาแข่งขันกันเรียกเงินจากกระเป๋าของผู้ใช้บริการที่ขาดความรู้เท่าทันในชั้นเชิงทางธุรกิจ ทำให้ธุรกิจมือถือเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
      "โทรฟรีตั้งแต่ ทุ่ม ถึง โมงเช้า" "สมัครด่วนวันนี้ พิเศษด้วยค่าโทรชั่วโมงละ บาท" "นาทีแรกนาทีละ บาท นาทีต่อไปนาทีละ 25 สตางค์" ฯลฯ
      เหล่านี้ ล้วนแต่ออกมาหลอกล่อให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้ เพื่อโทรกันข้ามวันข้ามคืน โดยที่ตัวผู้ใช้บริการเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงเป้าหมายที่แท้จริงของโทรศัพท์มือถือที่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารในสถานที่ที่ไม่มีบริการโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ลืมถึงหรือไม่รู้เลยก็คือ ภัยเงียบที่แฝงเร้นมากับคลื่นจากโทรศัพท์มือถือ
      ผลจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การศึกษาผลกระทบจากโทรศัพท์มือถือ" ของสภาสมาคมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) ได้สรุปผลกระทบจากโทรศัพท์มือถือออกมาว่า
      การใช้โทรศัพท์มือถือแนบไว้ที่หูครั้งละนานๆ เป็นเวลาหลายปี น่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวโดยมีรายงานการวิจัยในหลอดทดลองพบว่า คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือ สามารถทำให้เกิดความร้อนและทำร้ายเซลล์ภายในเนื้อเยื่อบริเวณหู
ตาและสมองได้
      ผลกระทบในระยะสั้น ผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือจะทำให้เกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิและเครียด เนื่องจากระบบพลังงานภายในร่างกายถูกรบกวน
      สำหรับผลในระยะยาว คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลายเกิดมะเร็งสมอง เนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติและทำให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
      ส่วนหนึ่งของรายงานเรื่อง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดย ศ.น.พ.สุรพล อิสรไกรศีล สาขาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่ามีรายงานว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเนื้องอกในสมอง
      หน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีของโทรศัพท์ไร้สายหรือ "WTR" (Wireless Technology research) ได้ศึกษาค้นคว้าผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์มือถือมานานร่วม ปี ก่อนจะมีรายงานสรุปผลว่า
      รังสีไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือนั้น มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด แต่สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ระดับความถี่ของรังสีไมโครเวฟ แต่เป็นช่วงระยะเวลาของการใช้งาน ดังนั้นผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ เช่น คู่รักที่อยู่ห่างไกลกันหรือชายหนุ่มหญิงสาวที่เพิ่งเริ่มจีบกันใหม่ๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่ง เรียกกันทางการแพทย์ว่า
 "Neuroepithelial Tumors"
      ผลจากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า รังสีไมโครเวฟในโทรศัพท์มือถือ สามารถทำลายเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เป็นโรคต้อกระจก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของโลหิต และยังเป็นสาเหตุของความอ่อนแอในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย
     
 Dr.Lennart Hardell ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจากสวีเดนกล่าวว่า มีข้อบ่งชี้ทางชีววิทยาว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองสูงถึง 2.5 เท่า เมื่อมีการใช้โทรศัพท์มือถือ
      นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยผลการค้นพบว่าคลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือสามารถทำลายโครงสร้างของ Blood Brain Barrier (BBB) เป็นเนื้อเยื่อที่กั้นระหว่างหลอดเลือดกับสมองจัดระบบพิเศษของเซลล์หลอดเลือดฝอยที่ทำหน้าที่ป้องกันสมองจากการสารเคมีที่ละลายอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งตามปกติแล้ว ที่ผนังของหลอดเลือดฝอยจะประกอบด้วยเนื้อเยื่อบางๆ ของเซลล์ที่เรียกว่าเอ็นโดเทเลียม (endothelium) ที่จะยอมให้สารอาหาร ออกซิเจนผ่านไปยังอวัยวะอื่นๆ เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่สำหรับสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างมาก ร่างกายจึงมีการเพิ่มระบบป้องกันสารเคมีเป็นกำแพงที่เรียกว่า Blood Brain Barrier กั้นระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเนื้อเยื่อสมองอีกชั้นหนึ่ง และกำแพงนี้จะไม่ยอมให้สารแปลกปลอมอื่นๆเข้าไปทำอันตรายกับเซลล์สมองได้
      ลองคิดดู หากร่างกายของคุณไม่มีผิวหนังเป็นโล่กำบัง คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกราดด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำเกลือ คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของสมองที่ปราศจาก Blood Brain Barrier คอยป้องกันตัวเองจากสารพิษต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดหรอก
      ถึงแม้ประเทศไทยจะยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานกับสุขภาพของผู้ใช้ แต่สำหรับในต่างประเทศพบว่า มีการรายงานผลทางวิทยาศาสตร์และผลการวิจัยเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น
      ศาสตราจารย์ Leif Salford แห่ง University of Lund ได้ทำการทดลอง โดยนำหนูที่ได้รับการฉีดโปรตีนและสารพิษไปไว้ในตู้ที่สามารถผลิตคลื่นไมโครเวฟที่มีขนาดเท่ากับคลื่นที่ปลดปล่อยออกมาจากโทรศัพท์มือถือ
      ผลการศึกษาพบว่าเมื่อปลดปล่อยคลื่นไมโครเวฟไปเพียง นาที Blood Brain Barrier ของหนูทดลองจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลล์ ทำให้สารต่างๆ ที่อยู่ภายในหลอดเลือดผ่านเข้าสู่สมองได้ โดยมีหลักฐานยืนยัน คือปริมาณของโปรตีนและสารพิษที่พบในเนื้อเยื่อสมอง แต่ถึงกระนั้น รายงานการศึกษาฉบับนี้ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการ
      Dariusz Leszeynski ได้ศึกษาผลกระทบของคลื่นโทรศัพท์ที่มีต่อ Blood Brain Barrier พบว่าหลังจากที่เนื้อเยื่อของ Blood Brain Barrier ได้รับการกระตุ้นจากคลื่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลา ชั่วโมง Blood Brain Barrier จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง โดยเซลล์แต่ละเซลล์จะเรียงตัวห่างกันมากขึ้นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ ซึ่งสารเคมีต่างๆ ในกระแสเลือดอาจลอดผ่านช่องว่างนี้ไปทำอันตรายให้กับเซลล์สมองได้

วิธีป้องกันภัยจากโทรศัพท์มือถือ
      หนทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกัน คือ
      ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องคุยนาน ให้สลับหูซ้ายขวา รวมทั้งลดระยะเวลาการใช้โทรศัพท์มือถือลง หรือหากจำเป็นก็ควรใส่อุปกรณ์ Small Talk หรือ Hand Free แทนการใช้โทรศัพท์มือถือแนบหูโดยตรงทุกครั้ง
      ควรใช้โทรศัพท์สายตรงจะปลอดภัยกว่าและประหยัดกว่า รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ และห้ามเด็กเล็กอายุต่ำกว่า ขวบใช้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาของสมองของเด็กได้
      จากรายงานสรุปผลของ สสวทท. ระบุว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่
      ควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพราะนอกจากจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายแล้ว ยังมีการเพิ่มปริมาณรังสีไมโครเวฟภายในรถ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรติดเสาอากาศไว้บนหลังคารถ
      หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะเติมน้ำมันรถยนต์ รวมทั้งปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ บริเวณที่มีการขนย้ายและเก็บเชื้อเพลิงหรือสารเคมี เนื่องจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้ได้ เพราะโทรศัพท์มือถือ ทำให้เกิดประกายไฟที่จุดติดไฟกับน้ำมันได้
      การถือโทรศัพท์ขณะสนทนา พยายามชี้เสาอากาศไปทางด้านหลังให้ห่างจากศีรษะของท่านมากที่สุด
      ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง หรือคาดเอว หรือแขวนไว้ช่วงหน้าอก เพราะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจากเครื่องโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา ทำให้รังสีไมโครเวฟวิ่งผ่านไขกระดูกที่อยู่บริเวณสะโพก ลูกอัณฑะ หรือหน้าอกของท่าน อาจทำให้เป็นมะเร็งเต้านม และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้การคุยโทรศัพท์นานๆ นอกจากจะทำให้เสียสุขภาพแล้ว ยังทำให้เสียเงินอีกด้วย
      ทุกนาทีที่คุณคุยแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงนั้นเท่ากับเงินในกระเป๋าของคุณได้หลุดลอยล่องละลิ่วไปด้วย ดังนั้นอย่าเชื่อโปรโมชั่นให้มากนัก เพราะโปรโมชั่นนี่ละที่ทำให้หลายๆคนทั้งเสียเงินและเสียสุขภาพโดยไม่รู้ตัวมานักต่อนักแล้ว บางคนคุยจนโทรศัพท์ร้อนจี๋ เจ็บหู ปวดหัว แบตหมดแล้วก็ยังอุตส่าห์มาชาร์จแบตคุยต่ออีก โดยไม่ได้คำนึงถึงอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่ว และภัยที่แฝงเร้นจากการใช้โทรศัพท์มือถือต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เลยแม้แต่น้อย...
      ขอให้ถามตัวเองสักนิด ก่อนที่จะหยิบมือถือคู่ใจมาใช้ว่า วันนี้คุณใช้โทรศัพท์ไปกี่นาทีแล้วและใช้มันอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น