วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

30 วิธีคลายความเคลียด

30 วิธีสลายความเครียด ภายใน 1 เดือน


คลายเครียด

ด้วยภาวะโลกอันแสนจะวุ่นวายทุกวันนี้จากปัญหาต่าง ๆ ย่อมทำให้คนเราเครียดกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ (หรือตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง น้ำท่วม) และสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจใช่มั้ยคะวันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้มาบอกค่ะ

          
 1. ดื่มชาเขียวเป็นประจำ จิบชาเขียวเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ

          
 2. ตามใจตัวเองบ้างอะไรบ้าง การได้ให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองก็เป็นความสุขทางใจอีกทางนึงนะ และยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย เช่น สาว ๆ หลายคน มักจะผ่อนคลายความเครียดด้วยการช้อปปิ้ง หรือหาของหวานอร่อย ๆ ทาน (ซึ่งก็มักจะได้ผลดีด้วยนะ)

          
 3. หาหน้าจอสกรีนเซฟเวอร์ที่สบายตา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราต้องจ้องมองมันทั้งวัน อาจทำให้คุณปวดตาได้ ดังนั้นควรจะหาสกรีนเซฟเวอร์ที่ดูแล้วคลายความเครียด เช่น ภาพท้องทะเลที่สวยงามยามเย็น ท้องฟ้าครามในวันที่อากาศดี ป่าเขียวอันแสนร่มรื่นย์ เป็นต้น

          
 4. เก็บข้อมูลทางสุขภาพไว้ในที่ปลอดภัย สถานสุขภาพบางแห่งมีการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของครอบครัวออนไลน์ หรือแม้แต่ในมือถือของคุณเอง ซึ่งทันสมัยและรวมอยู่ในที่เดียวเพื่อความสะดวกในการเข้าไปเช็คประวัติการรักษา การแจ้งเตือนนัดหมายกับแพทย์ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เคยถามคุณหมอไป

          
 5. หันมาบริโภคโฮลเกรน โฮลเกรน หรือ "ธัญพืช" นั้นมีประโยชน์มากกว่าแป้งขาว แถมดีต่อสุขภาพ โดยธัญพืชจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ และถูกปล่อยเป็นพลังงานออกมา ทั้งนี้เมื่อร่างกายย่อยอย่างช้า ๆ แล้ว จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ช่างมีประโยชน์เหลือหลายจริง ๆ


เดินเท้าเปล่า

          
 6. เดินเท้าเปล่าบ้าง รู้หรือไม่ว่าการเดินเท้าเปล่าบนพื้นพรม สนามหญ้าหรือพื้นทรายบ้างเป็นการนวดเท้าแบบเบา ๆ วิธีหนึ่งนะ ลองเดินเท้าเปล่าสัก 10 นาที แล้วผ่อนคลาย ปล่อยใจให้สงบ ช่วยให้คลายเครียดได้นะ ถ้างั้นถอดถุงเท้า โยนรองเท้าทิ้งไป แล้วออกเดินโลด!

          
 7. บันทึกความกังวลในแต่ละวัน ลองพกกระดาษกับปากกาติดตัวไว้ แล้วลองสังเกตุและจดดูว่าวัน ๆนึง เรามีเรื่องกังวลกับสิ่งต่าง ๆ เยอะมั้ยในแต่ละวัน แล้วหันมาทบทวนว่าคุณเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้มากเกินไปรึเปล่า  

          
 8. หายใจลึก ๆ เมื่อเห็น "จุด" งงใช่ไหมคะ? เจ้าจุดกลม ๆ ช่วยลดความเครียดได้อย่างไร? หากคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวันลองกำหนดลมหายใจ โดยค่อย ๆ หายใจเข้าและหายใจลึก ๆ (เหมือนกับกำหนดลมหายใจนั่งสมาธิ) เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่คุณสามารถใช้ตัวช่วยได้ด้วยการติดสติ๊กเกอร์ลายจุดกลม ๆ ไว้ตามที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเตือนได้

ออกกำลังกาย

          
 9. ออกกำลังกาย วิธีขจัดความเครียดโดยไม่ต้องลงทุน แค่ลงแรง เนื่องจากเวลาเราออกแรงให้เหงื่อออก ร่างกายก็จะขับของเสียออกมาและยังช่วยเคลียร์หัวสมองให้โล่งด้วยนะ

          
 10. กินขนมขบเขี้ยว "เครียดน้อย 1 เม็ด เครียดมาก 2 เม็ด" หลายคนคงจำประโยคนี้จากโฆษณาถั่วชนิดหนึ่งได้ ใช่แล้ว! การกินขนมขบเขี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืชและช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอ เพราะหากกินมากไป ก็จะเครียดเพราะความอ้วนถามหาได้

          
 11. พูดอย่างนุ่มนวล เชื่อมั้ยว่าถ้าเราลองหัดพูดให้นุ่มนวล ละมุนละไม ส่งผลให้ความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจและความเครียดลดลงได้

          
 12. ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ เมื่อรู้สึกเครียดก็ระบายมันออกมาเลย ไม่ต้องลงไม้ลงมือ แค่เขียนใส่กระดาษไป มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้โกรธทันที แต่ทำให้ความเครียดลดลงได้นะ

          
 13. ร้องเพลงขณะอาบน้ำ น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนทำมากที่สุดแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันทำให้เราผ่อนคลายได้มากขึ้น แถมได้อาบน้ำเย็น ๆ ไปด้วย ชิลสุด ๆ

เทียนหอม

           14. สัมผัสกลิ่นลาเวนเดอร์ เพียงจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆ ในห้องนอนของคุณ จะช่วยทำให้รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในสวนดอกลาเวนเดอร์แห่งความหอม ลืมชีวิตที่แสนวุ่นวายไปเสียสนิท

           15. ดูหนัง วิธีบำบัดความเครียดอีกวิธีหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำคือ การดูหนัง ไม่ว่าจะดูที่บ้านหรือโรงหนัง เพราะมันช่วยให้เราหลีกหนีความจริงและเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ

          
 16. เข้านอนเร็ว หลายคนคงรู้สึกหงุดหงิดในยามเช้าเวลานาฬิกาปลุก แล้วต้องตื่นขึ้นมากดหลายครั้งๆ นั้นเพราะคุณนอนดึก จึงไม่อยากตื่นในตอนเช้า เพียงแค่คุณปรับเวลาให้นอนเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายก็พร้อมรับวันใหม่อย่างสดชื่นแล้ว

          
 17. บอกเล่าเรื่องดี ๆ ให้คนอื่นฟัง พูดคุยกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับคนรู้จัก โดยเล่าในเชิงบวกและกล่าวชื่นชมยินดีพวกเขา สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันและช่วยลดความตึงเครียดลงได้ 


ความรัก

          
 18. กุมมือ เคยรู้สึกไหมว่าตอนคุณไม่สบายใจ แล้วมีคนคอยจับมือและอยู่เคียงข้าง ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจากเรื่องที่เครียด นั้นเป็นเพราะการสัมผัสส่งผลบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น

          
 19. ประดิษฐ์งานฝีมือ เชื่อไหมว่าการทำกิจกรรมอย่าง การถักไหมพรมหรือทำหนังสือ โดยใช้เวลาแค่ 20 นาที ช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้นและให้ความสนใจไปกับสิ่งที่ทำให้คุณเพลิดเพลิน ลืมความตึงเครียดไปได้ชั่วขณะ
ทำงานบ้าน

          
 20. ขยันให้เหมือนผึ้ง หาอะไรทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้านทำ เช่น กวาดบ้านถูบ้าน ทำความสะอาดลิ้นชัก จะได้ไม่อยู่ว่างเฉย ๆ และดูมีคุณค่า ซึ่งสิ่งที่เลือกทำควรจะเป็นงานเบา ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที เพราะเดี๋ยวจะเหนื่อยจนเกินไปแล้วเครียดอีก  

          
 21. เปิดรูปภาพคนที่คุณรัก สังเกตไหมคะ ว่าบนโต๊ะทำงานของคนส่วนใหญ่ของคนทำงาน มักมีภาพของครอบครัวหรือคนที่รักอยู่เสมอ นั้นเพราะว่าเวลาได้มองรูปภาพคนที่คุณรัก จะทำให้มีกำลังใจที่ดีขึ้น

          
 22. จิบโกโก้ร้อน คงเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนชอบ (โดยเฉพาะสาว ๆ) เพราะนอกจากมีรสชาติ หวาน มัน ที่อร่อยแล้ว กลิ่นหอม ๆ ของโกโก้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย

          
 23. หาเวลาไปนวด นั่นแน่! ไม่ใช่นวดแบบนั้นนะจ๊ะ หนุ่ม ๆ ทั้งหลาย การนวดนี้เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้น จากการทำงานหรือออกกำลังกาย โดยใช้เวลาสัก 5 นาทีทุกวัน จะนวดเองหรือหาคนช่วยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน แต่เลือกให้ถูกคนล่ะ


อาบน้ำ

          
 24. มีความสุขกับชั่วโมงการอาบน้ำ ช่วงเวลาในการอาบน้ำ นับเป็นการพักผ่อนชนิดหนึ่ง แต่หลายคนมักจะรีบ ๆ อาบให้เสร็จเร็ว ๆ โดยหารู้ไม่ว่าพลาดช่วงเวลาในการพักผ่อนอีกวิธีหนึ่งไปเสียแล้ว อาจจะสัก 2 - 3 ครั้งต่ออาทิตย์ ใช้เวลาอาบน้ำสัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้พักบ้าง

          
 25. ขัดตัว สมัยนี้การขัดตัวกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะนอกจากจะเป็นการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ยังทำให้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น

          
 26. การหัวเราะเป็นยาวิเศษ "หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส" คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะทุกครั้งที่เราหัวเราะ ร่างกายก็จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมาและยังเป็นวิธการชะลอความแก่อีกทางนึงด้วยนะ

          
 27. ลิสต์เรื่องที่ทำให้มีความสุข หากคุณต้องติดอยู่ในสภาวะรถติดหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณเครียด อย่าใส่ใจกับมัน แล้วหันมานึกถึงเรื่องราวที่ทำให้คุณมีความสุขสัก 5 อย่างแล้วลิสต์ออกมา นั่นจะทำให้คุณมองวันทั้งวันที่เหลือของคุณในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่จดไว้ก็จะคอยเตือนว่าคุณมีเรื่องดีดีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน

          
 28. อ่านกวีโปรดของคุณ ลองอ่านบทกวีเล่มโปรดแล้วอ่านออกเสียงออกมาดัง ๆ แล้วทอดอารมณ์ จินตนาการตามบทกวีอันแสนหวานนั้นไปกับมัน เพราะการอ่านบทกวีจะช่วยให้คุณค่อย ๆ หายใจเป็นจังหวะ อย่างช้าๆ ในขณะที่อ่านและปล่อยอารมณ์เพลิดเพลินไปกับมัน

ทำอาหาร




          
 29. เข้าครัวเฉือนความเครียด หลายคนที่ชอบเข้าครัวคงทราบดีว่าการทำอาหารนั้นสร้างความสุขอย่างหนึ่งให้กับชีวิต เรามักเพลิดเพลินเวลาค่อย ๆ หั่นผักสดเป็นจังหวะ เหมือนเล่นดนตรี ทำให้เราลืมเรื่องวุ่นวายภายนอกไปได้ชั่วขณะ แถมยังทำให้เรามีอาหารแสนอร่อย เป็นรางวัลตบท้ายอีกด้วย

          
 30. ยืดแข้งยืดขา คนเรานั่งทำงานนานๆ ก็ทำให้เมื่อยได้ ถึงจะนั่งโต๊ะทำงานสบาย ๆ ก็เถอะ ลองยืดแข้งยืดขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อซะบ้าง บิดตัวไปมา หมุนศีรษะเบา ๆ ขยับแขนขาเล็กน้อย แค่นี้ก็ช่วยได้แล้ว

          
จากวิธีข้างต้น คงมีส่วนช่วยให้ทุกคนคลายความเครียดลงได้บ้างนะคะ ขั้นตอนง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ สามารถทำได้เป็นกิจวัตร ฉะนั้นจะเครียดไปไย ชีวิตยังมีเรื่องให้ค้นหาความสุขอีกมาก ถ้าเพื่อน ๆ ลองทำแล้วได้ผลดีอย่างไรก็อย่าลืมบอกต่อเรื่องราวดี ๆ แบบนี้ด้วยนะคะ โลกเราจะได้มีคนเครียดน้อยลง

แหล่งอ้างอิง : http://health.kapook.com/view33466.html

ประโยชน์มะม่วง


ประโยชน์ของมะม่วง (Mango)


มะม่วง ผลไม้ยอดฮิตที่นิยมบริโภคตลอดปี ไม่ว่าจะบ้านไหน เรือนไหนก็นิยมปลูกกันไว้ในรั้วบ้าน มะม่วงนอกจากจะนำมารับประทานได้หลายรูปแบบแล้วยังเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาได้เป็นอยางดี ส่วนอื่นๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ ดอกมะวม่วง มีวิตามินเอและซีสูง และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เรียกได้ว่า มะม่วงลูกหนึ่งมีสารอาหารเกือบครบเลยทีเดียว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาจหายไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะมะม่วงก็มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากเหมือนกัน
ชื่ออื่น ขุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)  แป (ละว้า-เชียงใหม่)  โคกแล้ะ (ละว้า-กาญจนบุรี)  เจาะ ช้อก ซ้อก (ชอง-จันทบุรี)  เปา (มลายู-ภาคใต้)  สะวาย (เขมร)  ส่าเคาะส่า  สะเคาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)  มะม่วงบ้าน (ทั่วไป)  มะม่วงสวน (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Mangifera indica Linn.
วงศ์  ANACARDIACEAE
ลักษณะ  มะม่วงเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง เปลือกต้นหนาสีเทาขรุขระแตกเป็นเกร็ดๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมาย
ใบ  เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะของใบเรียวแหลม คล้ายรูปหอก กว้าง 2-9 ซ.ม. ยาว 10-30 ซ.ม. ใบหนารอบใบเรียบ
ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อหนึ่งมีประมาณ 15-20 ดอก แต่ละช่อมีดอกย่อยถึง 3000 ดอก มีสีเหลืองอ่อน มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีกลีบดอก 5 กลีบ
ผล มีรูปร่างคล้ายรูปไต ผลดิบมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองและรสหวาน หนึ่งผลมีเมล็ดเดียว ลักษณะแบน เป็นรูปไข่รีขนาดใหญ่
ส่วนที่ใช้  เมล็ด ผล ใบ เปลือกลำต้น 
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
เมล็ดสด ๆ  มารับประทาน หรือนำมาโรยเกลือ รับประทานเพื่อขับปัสสาวะหรือแก้บวมน้ำ เนื้อในเมล็ดใช้แก้ท้องร่วง
ผลมะม่วง นำมาคั้นรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะหรือร้อนใน แก้คลื่นไส้ แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร
ใบมะม่วง นำมาพอประมาณต้มรับประทานแก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้ลำไส้อักเสบ หรือใช้ใบสดๆ ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลสด จะเป็นยาสมานแผลสดได้ดีที่เดียว
เปลือกลำต้นมะม่วง ใช้เปลือกสดๆ มาต้มรับประทานเป็นยาแก้โรคคอตีบ เยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ
คุณค่าทางอาหาร
มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว เอาไปทำของคาวได้หลายอย่าง ที่เห็นบ่อยมากคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ
ในส่วนที่นำไปเป็นของว่างนั้น มะม่วงดิบรับประทานเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน เมี่ยงส้ม มะม่วงสุกที่มีรสหวาน นำมารับประทานกับข้าวเหนียว กวนเป็นแผ่น หรือนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้
มะม่วงอุดมด้วยฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันไม่ให้เปราะหักง่าย นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณมาก ช่วนเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคหวัด และมีวิตามินบี 1ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม
พลังงาน                  67            แคลอรี่
โปรตีน                   0.5         กรัม
ไขมัน                     0.2          กรัม
คาร์โบไฮเดรต         15.7           กรัม
ใยอาหาร                2.4            กรัม
แคลเซียม               14.00            มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส              2            มิลลิกรัม
เหล็ก                       มีน้อยมาก
เบต้าแคโรทีน            37           ไมโครกรัม
วิตามีนบี 1               0.05         มิลลิกรัม
วิตามีนบี 2               0.02         มิลลิกรัม
ไนอะซีน                 0.2         มิลลิกรัม
วิตามีนซี                  35          มิลลิกรัม 
ที่มา : หนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพรและพืชผักสวนครัว



สาเหตุของโรคอ้วน !

สาเหตุของโรคอ้วน


คนเรารับประทานอาหารเข้าไปไม่ว่าจะเป็นประเภทแป้ง หรือโปรตีนหากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการ
ร่างกายก็จะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นในรูปไขมัน สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นโรคอ้วน ดังนั้นคนที่อ้วนเกิดจากเรารับอาหารที่มีพลังงานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไป สาเหตุจริงๆยังไม่ทราบแน่ชัด โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุต่างๆดังนี้
การรับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ จะให้น้ำหนักเกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน และแป้งสูงซึ่งมักจะพบในอาหารจานด่วน
ประเภทของอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส sugars, fructose,น้ำหวาน เครื่องดื่ม ไวน์ เบียร์ อาหารเหล่านี้จะดูดซึมอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเป็นปริมาณมาก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
ภาวะที่ร่างกายเผาพลาญพลังงานน้อย ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากว่าผู้หญิง กล้ามเนื้อจะเผาพลังงานได้มากดังนั้นผู้หญิงจึงอ้วนง่ายกว่าผู้ชายและลดน้ำหนักยาก
โรคต่อมไร้ท่อ เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากร่างกายเผาผลาญอาหารน้อยลง โรค cushing ร่างกายสร้างฮอร์โมน cortisol มากทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมัน ฮอร์โมนนี้อาจจะมาจากร่างกายสร้างเอง หรือจากลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุด หรือร่างกายสร้างขึ้นเนื่องจากเนื้องอกต่อมหมวกไต
จากยา ยาบางชนิดทำให้ความอยากอาหารเพิ่ม เช่นยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า tricyclic antidepressant,phenothiazine ยาลดความดัน beta-block ยารักษาเบาหวาน ยาคุมกำเนิด ยา steroid
กรรมพันธุ์ จะพบว่าบางครอบครัวจะอ้วนทั้งหมดซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม เช่นคนที่เป็นโรคขาด leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งไปยังสมองทำให้เรารับอาหารน้อยลง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารและความเป็นอยู่
วัฒนธรรมการดำรงชีวิตและอาหารซึ่งเห็นได้ว่าบางชาติจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากอาหารของชาตินั้นนิยมอาหารมันๆ
ความผิดปกติทางจิตใจทำให้รับประทานอาหารมาก เช่นบางคนเศร้า เครียด แล้วรับประทานอาหารเก่ง
การดำเนินชีวิตอย่างสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวดมากมาย และขาดการออกกำลังกาย มีรถยนต์ มีเครื่องทุ่นแรง มีทีวีรายการดีๆให้ดู มีสื่อโฆษณาถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนตั้งแต่ในวัยเด็ก
โรคอ้วนในวัยรุ่น ชีวิตที่มีความสบาย ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดประเภท และไม่จำกัดปริมาณเหล่านี้ทำให้เกิดโรคอ้วน เมื่ออ้วนก็ทำให้ออกกำลังได้ไม่เต็มที่ พบว่าวัยรุ่นหรือเด็กที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดโรคอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่ น้ำหนักของผู้ชายจะเพิ่มจนคงที่เมื่ออายุประมาณ 50 ปี ส่วนผู้หญิงน้ำหนักจะเพิ่มจนอายุประมาณ 70 ปี
โรคอ้วนในเด็ก เซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนอให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก การอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก สานโรคอ้วนในผู้ใหญ่เกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่


แหล่งอ้างอิง : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/obesity/cause.htm

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หน้าใส !

10 วิธีหน้าใส


 ผิวสวย

 สาวสวยผิวหน้าใส ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ แล้วจะทำอย่างไรให้เป็นเจ้าของผิวสวยใสแบบสาวสุขภาพดี วันนี้กระปุกดอทคอมมีเคล็บลับดี ๆ วิธีทําให้หน้าใส 10 วิธี ที่คุณทำได้ง่าย ๆ มาฝากค่ะ

     
1. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าและดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว สำหรับสาว ๆ ทั้งหลายที่เป็นสิวอยู่ ควรหลีกเลี่ยงของมันทุกชนิด แล้วเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว อย่างผักสดและผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง กล้วย กีวี มะนาว มะเขือเทศ เป็นต้น

     
2. ทำทรีทเม้นท์ผิวหน้า เพื่อฟื้นฟูและบำรุงไปพร้อม ๆ กัน อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่ากำลังแนะนำให้สาว ๆ ไปทำทรีทเม้นท์ราคาแพง ๆ นะคะ เพราะนั่นไม่จำเป็นเลย ทรีทเม้นท์นั้นสามารถทำได้เองง่าย ๆ ที่บ้าน เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาว หรือดินสอพองผสมมะนาว แค่นี้ก็ถือว่าเป็นทรีทเม้นท์ได้แล้วล่ะค่ะ แต่อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดหลังพอกหน้าทุกครั้ง

     
3. หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง ควรทาครีมบำรุงผิว เพื่อทดแทนความชุ่มชื่นที่เสียไปจากการล้างหน้า โดยหลัก ๆ จะมีเดย์ครีมและไนท์ครีม ซึ่งเดย์ครีมจะเป็นครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับทาตอนกลางวัน ส่วนใหญ่จะมีสารป้องกันแสงแดดจากรังสียูวีในระหว่างวัน ส่วนไนท์ครีม ใช้สำหรับบำรุงผิวยามค่ำคืน

     
4. นวดหน้าด้วยน้ำมัน การนวดหน้าด้วยน้ำมันฟังแล้วเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดสิว แต่ความจริงไม่ใช่เลยค่ะ การนวดหน้าด้วยน้ำมันนั้นจะทำให้ผิวหน้าได้ผ่อนคลาย ซึ่งน้ำมันที่ใช้ในการนวดหน้านั้น ได้แก่ น้ำมันลาเวนเดอร์ หรือ เป๊ปเปอร์มินท์

     
5. ทำความสะอาดรูขุมขนด้วยไอน้ำ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งวิธีการทำนั้นก็ง่ายมาก ๆ เพียงนำน้ำเดือดมาตั้งแล้วยื่นหน้าไปอังให้ไอน้ำทำความสะอาดใบหน้าคุณ ไอน้ำจะช่วยเปิดรูขุมขนให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างหลุดออกมา

     
6. พอกหน้า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการพอกหน้า คือ หลังจากคุณอบไอน้ำใบหน้าแล้ว เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนคุณเปิด ทำให้มาส์กพอกหน้าซึมซับเข้าไปบำรุงผิวภายในได้ง่ายกว่าช่วงเวลาอื่น แต่หลังจากพอกหน้าแล้ว อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดอีกครั้งด้วย

     
7. อย่าขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป แม้ว่าการขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าจะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสะอาดของผิวก็ตามที แต่การขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อย ๆ นั้นจะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตความมันออกมามากขึ้น และทำให้เกิดสิวได้ง่าย ความถี่ของการขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าที่เหมาะสมอยู่ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น

     
8. หากคุณเป็นคนชอบแต่งหน้า
 ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้าทุกครั้งก่อนล้างหน้า และไม่ควรเข้านอนโดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้า ที่สำคัญ ควรทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ อาจจะสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้งานติดต่อกันนานเป็นปีโดยไม่ซักล้าง เพราะมันสะสมสิ่งสกปรกได้ดีเลยทีเดียว

    
9. ยิ้มเพื่อหน้าใส แน่นอนว่าการหมั่นทำอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวได้ ดังนั้น หันมายิ้มเยอะ ๆ กันนะจ๊ะสาว ๆ เพราะนอกจากจะทำให้สิวขึ้นได้ยากแล้ว อารมณ์ที่ดียังทำให้หน้าไม่แก่ก่อนวัยอีกด้วย 

     
10. ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน หรือวันเว้นวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที สามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่ดี ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผุดผ่องสดใส แถมยังทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย ทั้งนี้ อย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำด้วย